ต้นมะม่วงหิมพานต์ (Anacardium occidentale L.)

ในสวนเงียบยามบ่าย หากเดินช้า ๆ อาจสะดุดตากับต้นไม้รูปร่างแปลกตา
ที่มีผลสีสันสดใสคล้ายลูกแพร์ห้อยอยู่ปลายกิ่ง
นั่นคือ มะม่วงหิมพานต์ — ไม้ยืนต้นที่มากด้วยคุณประโยชน์ ทั้งด้านอาหารและยา

แม้จะมีถิ่นกำเนิดในอเมริกาใต้
แต่มะม่วงหิมพานต์กลับเจริญเติบโตได้ดีในภาคใต้ของประเทศไทย
จนกลายเป็นพืชเศรษฐกิจที่คุ้นตาในหลายครัวเรือน

รูปร่างที่ซ่อนคุณค่า

“เม็ดมะม่วงหิมพานต์” ที่เรานิยมรับประทานนั้น แท้จริงคือ เมล็ด ของผลไม้ชนิดนี้
ส่วนที่ดูคล้ายผลไม้สีเหลืองแดง กลับเป็นเพียง ผลเทียม
โครงสร้างที่พองโตจากฐานดอก เพื่อดึงดูดสัตว์ให้มาช่วยกระจายเมล็ด

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ 🌿

การใช้ประโยชน์ในแพทย์แผนไทย 💊

1. ใบ

ใช้ตำพอกแผล ช่วยสมานแผล ลดอักเสบ และแก้น้ำเหลืองเสีย

2. เปลือกต้น

ใช้ต้มน้ำอาบหรือดื่ม แก้ท้องร่วงและบิด
ตามตำรายาโบราณในภาคใต้

3. เมล็ด

รับประทานเป็นอาหารหลังผ่านการคั่วเพื่อลดสารพิษ
ในบางตำบล ใช้ร่วมกับสมุนไพรอื่น เช่น เถาวัลย์เปรียง ในตำรับยาแก้ปวดเมื่อย

“เปลือกต้นต้มดื่ม แก้ท้องร่วง ใบตำพอกแผล ยางใช้ภายนอกได้” — ภูมิปัญญาชาวบ้าน

ข้อควรระวัง ⚠️

ปลูกง่าย ใช้ได้คุ้ม 🌱

มะม่วงหิมพานต์ปลูกง่ายในพื้นที่แดดจัดและดินร่วนซุย
เหมาะสำหรับสวนที่ต้องการไม้ยืนต้นให้ร่มเงา อาหาร และสมุนไพรในต้นเดียว
ต้นไม้นี้เปรียบได้กับ สะพานเชื่อมระหว่างอาหารและยา ระหว่างธรรมชาติและภูมิปัญญา

การเดินเล่นกับต้นไม้จึงไม่ใช่เพียงการเดินผ่านเงาไม้
แต่คือการได้เรียนรู้ และแลกเปลี่ยนความรู้สึกกับสิ่งมีชีวิตที่ยืนหยัดงอกงามอย่างเงียบงัน

อ้างอิง 🔎

  1. สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
    มะม่วงหิมพานต์
  2. คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
    Phargarden: มะม่วงหิมพานต์
  3. กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก.
    ตำรับยาไทยและภูมิปัญญาท้องถิ่นภาคใต้, กระทรวงสาธารณสุข
  4. สัมภาษณ์หมอพื้นบ้าน จ.ตรัง (2562). โครงการเก็บข้อมูลพืชสมุนไพรภาคใต้, เครือข่ายนักวิจัยอิสระ
  5. ภาควิชาวิทยาศาสตร์อาหาร, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
    “การแปรรูปเมล็ดมะม่วงหิมพานต์”, วารสารเกษตรกรรม ปีที่ 9 ฉบับที่ 2